เมืองไทยประกันภัย ประกันชั้น 2 ดีไหม คุ้มครองอะไรบ้าง

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความคุ้มครองที่มากกว่าประกันภาคบังคับ แต่ไม่ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันสูงเท่ากับประกันชั้น 1 เมืองไทยประกันภัยเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชั้นนำที่นำเสนอแผนประกันรถยนต์ชั้น 2+ หลากหลายรูปแบบ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัย ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร คุ้มครองอะไรบ้าง และเหมาะกับใคร

เมืองไทยประกันภัย
เมืองไทยประกันภัย

สารบัญ

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คืออะไร

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นประกันภาคสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองมากกว่าประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) แต่น้อยกว่าประกันชั้น 1 โดยจะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ของผู้เอาประกันในกรณีที่เกิดการชนกับยานพาหนะทางบก รวมถึงคุ้มครองกรณีรถหาย ไฟไหม้ และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

ประกันชั้น 2+ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ มีความระมัดระวังในการขับขี่ และต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน โดยยอมรับความเสี่ยงบางส่วนได้ เช่น ไม่คุ้มครองกรณีรถพลิกคว่ำ หรือชนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ยานพาหนะ

แผนประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัย

เมืองไทยประกันภัยมีแผนประกันรถยนต์ชั้น 2+ หลายรูปแบบ ได้แก่:

เมืองไทยประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกัน 2+
เมืองไทยประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกัน 2+
  1. เมืองไทย 2+ พลัส
  2. เมืองไทย 2+ เซฟ
  3. เมืองไทย 2+ เซอร์ไพรส์
  4. เมืองไทย 2+ แคร์
  5. เมืองไทย 2+ ระยะสั้น (90 วัน)

แต่ละแผนมีจุดเด่นและความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เอาประกันที่หลากหลาย

ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

โดยทั่วไป ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัยจะให้ความคุ้มครองดังนี้:

เมืองไทยประกันภัย ประกันรถยนต์ 2+ความคุ้มครอง
เมืองไทยประกันภัย ประกันรถยนต์ 2+ความคุ้มครอง
  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
    • ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย: สูงสุด 500,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 บาทต่อครั้ง
    • ความเสียหายต่อทรัพย์สิน: สูงสุด 1,000,000 บาทต่อครั้ง
  2. ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่เอาประกัน
    • กรณีสูญหาย ไฟไหม้: ตามทุนประกันที่ระบุ (สูงสุด 500,000 บาท)
    • กรณีชนกับยานพาหนะทางบก: ตามทุนประกันที่ระบุ (สูงสุด 500,000 บาท)
  3. ความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย
    • อุบัติเหตุส่วนบุคคล (ร.ย.01): 100,000 บาทต่อคน
    • ค่ารักษาพยาบาล (ร.ย.02): 100,000 บาทต่อคน
    • การประกันตัวผู้ขับขี่ (ร.ย.03): 200,000 บาทต่อครั้ง

จุดเด่นของประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

  1. ความยืดหยุ่นในการเลือกทุนประกัน: ผู้เอาประกันสามารถเลือกทุนประกันได้ตั้งแต่ 100,000 ถึง 500,000 บาท
  2. ราคาเบี้ยประกันที่คุ้มค่า: เบี้ยประกันเริ่มต้นที่ประมาณ 7,000 บาทต่อปี ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ
  3. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง: มีศูนย์รับแจ้งอุบัติเหตุและบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
  4. ระบบอู่ออนไลน์: มีอู่คู่สัญญากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ที่สามารถตรวจสอบความเสียหายและอนุมัติซ่อมได้ทันที
  5. บริการเสริมพิเศษ: บางแผนมีบริการเสริม เช่น รถใช้ระหว่างซ่อม หรือเงินชดเชยกรณีเกิดอุบัติเหตุ
  6. ความคุ้มครองโจรกรรมทรัพย์สินภายในรถ: บางแผนมีความคุ้มครองกรณีทรัพย์สินภายในรถถูกโจรกรรม
  7. ความยืดหยุ่นในการชำระเบี้ยประกัน: มีตัวเลือกในการผ่อนชำระค่าเบี้ยประกัน

ข้อควรพิจารณา

  1. ไม่คุ้มครองอุบัติเหตุทุกกรณี: ประกันชั้น 2+ ไม่คุ้มครองกรณีรถพลิกคว่ำ ชนวัตถุอื่นที่ไม่ใช่ยานพาหนะ หรือภัยธรรมชาติ
  2. จำกัดอายุรถ: ส่วนใหญ่รับประกันรถที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี
  3. ข้อจำกัดด้านประเภทรถ: ไม่รับประกันรถบางประเภท เช่น รถดัดแปลง รถนำเข้า หรือรถ Super Car
  4. ทุนประกันอาจไม่เพียงพอสำหรับรถราคาแพง: ทุนประกันสูงสุดที่ 500,000 บาท อาจไม่เพียงพอสำหรับรถราคาแพง
  5. การรับประกันเวลาให้บริการ: การรับประกันเวลาในการให้บริการ เช่น การถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาที มักจำกัดเฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น

เปรียบเทียบแผนประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัย

เมืองไทยประกันภัย อู่ในเครือมากกว่า 1,000 แห่ง
เมืองไทยประกันภัย อู่ในเครือมากกว่า 1,000 แห่ง
  1. เมืองไทย 2+ พลัส
    • เบี้ยประกันเริ่มต้น: 7,900 บาท/ปี
    • จุดเด่น: ทุนประกันสูงสุด 500,000 บาท
  2. เมืองไทย 2+ เซฟ
    • เบี้ยประกันเริ่มต้น: 7,200 บาท/ปี
    • จุดเด่น: ราคาถูกที่สุดในบรรดาแผนประกันชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัย
  3. เมืองไทย 2+ เซอร์ไพรส์
    • เบี้ยประกันเริ่มต้น: 5,900 บาท/ปี
    • จุดเด่น: ทุนประกันต่ำ (100,000 – 200,000 บาท) แต่เบี้ยประกันถูก
  4. เมืองไทย 2+ แคร์
    • เบี้ยประกันเริ่มต้น: 7,500.70 บาท/ปี
    • จุดเด่น: มีบริการรถทดแทนระหว่างซ่อม และเงินชดเชยกรณีเกิดอุบัติเหตุ
  5. เมืองไทย 2+ ระยะสั้น (90 วัน)
    • เบี้ยประกันเริ่มต้น: 1,850.12 บาท/90 วัน
    • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองระยะสั้น

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัยเหมาะกับใคร

  1. ผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์และมีความระมัดระวังในการขับขี่
  2. เจ้าของรถที่มีอายุการใช้งาน 3-20 ปี
  3. ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันเมื่อเทียบกับประกันชั้น 1 แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม
  4. ผู้ที่ใช้รถเป็นประจำในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น
  5. ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองกรณีรถหายหรือไฟไหม้
  6. ผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงบางส่วนได้ เช่น กรณีรถพลิกคว่ำหรือชนวัตถุอื่นที่ไม่ใช่ยานพาหนะ

ข้อควรระวังในการทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

  1. ตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครองให้ละเอียด โดยเฉพาะข้อยกเว้นต่างๆ
  2. พิจารณาทุนประกันให้เหมาะสมกับมูลค่ารถของคุณ
  3. ตรวจสอบว่ารถของคุณอยู่ในเงื่อนไขที่บริษัทรับประกันหรือไม่ เช่น อายุรถ ประเภทรถ
  4. เปรียบเทียบแผนประกันต่างๆ ของเมืองไทยประกันภัย และบริษัทอื่นๆ ก่อนตัดสินใจ
  5. พิจารณาบริการเสริมต่างๆ ว่าตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่
  6. ศึกษาขั้นตอนการเคลมและเอกสารที่ต้องใช้ให้เข้าใจก่อนทำประกัน

วิธีการซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

เมืองไทยประกันภัยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ ได้หลายช่องทาง:

  1. ซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.mticonnect.com
    • สะดวก รวดเร็ว สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    • สามารถเปรียบเทียบแผนประกันต่างๆ ได้ง่าย
    • มีตัวเลือกการชำระเงินหลากหลาย เช่น บัตรเครดิต, QR Code, PromptPay
  2. ติดต่อผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย
    • ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการเลือกแผนประกัน
  3. สาขาของเมืองไทยประกันภัยทั่วประเทศ
    • พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง
    • สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทันที
  4. Call Center 1484
    • สอบถามข้อมูลและทำประกันผ่านทางโทรศัพท์
    • บริการตลอด 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

เมืองไทยประกันภัย แจ้งเคลมออนไลน์
เมืองไทยประกันภัย แจ้งเคลมออนไลน์
  1. แจ้งเหตุทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ
    • โทร 1484 ตลอด 24 ชั่วโมง
    • แจ้งผ่านแอปพลิเคชัน MTI Connect
    • แจ้งผ่านเว็บไซต์ของบริษัท
  2. ถ่ายรูปความเสียหายและรอเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ
    • บริษัทรับประกันการเดินทางถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาทีในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
  3. เจ้าหน้าที่จะประเมินความเสียหายและแนะนำขั้นตอนต่อไป
    • กรณีซ่อมได้ จะแนะนำอู่ซ่อมในเครือ
    • กรณีเป็นฝ่ายผิด จะช่วยเจรจากับคู่กรณี
  4. นำรถเข้าซ่อมที่อู่ในเครือ
    • มีอู่ในเครือกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ
    • สามารถตรวจสอบสถานะการซ่อมผ่านแอปหรือเว็บไซต์ได้
  5. รับรถคืนหลังซ่อมเสร็จ
    • มีการรับประกันคุณภาพงานซ่อม

ข้อดีและข้อเสียของประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัย

ข้อดี

  1. ราคาเบี้ยประกันที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ
  2. มีแผนประกันให้เลือกหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง
  3. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ
  4. ระบบอู่ออนไลน์ที่สะดวกรวดเร็ว
  5. มีบริการเสริมพิเศษในบางแผน เช่น รถใช้ระหว่างซ่อม
  6. สามารถซื้อประกันและเคลมผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวก

ข้อเสีย

  1. ไม่คุ้มครองอุบัติเหตุทุกกรณี เช่น รถพลิกคว่ำ หรือชนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ยานพาหนะ
  2. ทุนประกันสูงสุดที่ 500,000 บาท อาจไม่เพียงพอสำหรับรถราคาแพง
  3. มีข้อจำกัดด้านอายุรถและประเภทรถที่รับประกัน
  4. การรับประกันเวลาให้บริการมักจำกัดเฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น

สรุป ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัยดีไหม

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัยถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมในราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถที่มีอายุการใช้งาน 3-20 ปี และผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์และความระมัดระวังในการใช้รถ

จุดเด่นของประกันชั้น 2+ เมืองไทยประกันภัยคือความหลากหลายของแผนประกัน ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแผนที่เน้นราคาประหยัด แผนที่มีบริการเสริมพิเศษ หรือแผนระยะสั้นสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเฉพาะช่วง นอกจากนี้ ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และระบบอู่ออนไลน์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลมประกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจควรพิจารณาข้อจำกัดของประกันชั้น 2+ ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุทุกกรณี และข้อจำกัดด้านทุนประกันสูงสุดที่อาจไม่เพียงพอสำหรับรถราคาแพง

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าประกันรถยนต์ชั้น 2+ ของเมืองไทยประกันภัยเหมาะสมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะการใช้งานรถ งบประมาณ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผู้สนใจควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เปรียบเทียบกับแผนประกันอื่นๆ และอ่านเงื่อนไขความคุ้มครองอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำประกัน เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งานจริง