การเคลมประกันสุขภาพต้องทำภายในกี่วัน มีรายละเอียดอย่างไร

ประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญในการวางแผนและรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการเคลมประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของระยะเวลาและขั้นตอนต่างๆ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลมประกันสุขภาพ ทั้งในแง่ของระยะเวลา ขั้นตอน และข้อควรรู้ต่างๆ

การเคลมประกันสุขภาพ
การเคลมประกันสุขภาพ

สารบัญ

ระยะเวลาในการเคลมประกันสุขภาพ

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเคลมประกันสุขภาพคือ “ต้องทำภายในกี่วัน?” คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้ว ผู้เอาประกันควรแจ้งเคลมโดยเร็วที่สุดหลังจากได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่แน่นอนอาจแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน ซึ่งมักจะระบุไว้ในกรมธรรม์

โดยทั่วไป บริษัทประกันมักกำหนดระยะเวลาในการเคลมไว้ดังนี้:

  1. กรณีผู้ป่วยนอก (OPD): ภายใน 30-90 วันนับจากวันที่รับการรักษา
  2. กรณีผู้ป่วยใน (IPD): ภายใน 30-180 วันนับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการพิจารณา ผู้เอาประกันควรยื่นเอกสารเคลมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเกินระยะเวลาที่กำหนด อาจทำให้สิทธิ์ในการเคลมเป็นโมฆะได้

ขั้นตอนการเคลมประกันสุขภาพ

การเคลมประกันสุขภาพมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. การเตรียมเอกสาร

เอกสารที่จำเป็นสำหรับการเคลมประกันสุขภาพ มักประกอบด้วย:

  • แบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (สามารถขอได้จากบริษัทประกันหรือดาวน์โหลดจากเว็บไซต์)
  • ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาล (ฉบับจริง)
  • ใบรับรองแพทย์
  • สำเนาบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
  • สำเนาบัตรประจำตัวผู้เอาประกันภัย
  • เอกสารอื่นๆ ตามที่บริษัทประกันร้องขอ (เช่น ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ฟิล์มเอกซเรย์ ฯลฯ)
    ประกันธนชาต เอกสารเคลมประกัน
    ประกันธนชาต เอกสารเคลมประกัน

2. การยื่นเอกสาร

ผู้เอาประกันสามารถยื่นเอกสารเคลมได้หลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับบริษัทประกัน เช่น:

  • ยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานของบริษัทประกัน
  • ส่งทางไปรษณีย์
  • ยื่นผ่านตัวแทนประกัน
  • เคลมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของบริษัทประกัน

3. การพิจารณาสินไหม

เมื่อบริษัทประกันได้รับเอกสารครบถ้วน จะดำเนินการพิจารณาสินไหม ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 7-15 วันทำการ ในกรณีที่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม อาจใช้เวลานานถึง 90 วัน

4. การแจ้งผลและจ่ายสินไหม

หลังจากพิจารณาเสร็จสิ้น บริษัทประกันจะแจ้งผลให้ผู้เอาประกันทราบ และดำเนินการจ่ายสินไหมตามวิธีที่ตกลงไว้ เช่น โอนเงินเข้าบัญชี หรือส่งเช็คทางไปรษณีย์

ประเภทของการเคลมประกันสุขภาพ

การเคลมประกันสุขภาพสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

เคลมประกันสุขภาพ วิริยะ

1. การเคลมแบบไม่ต้องสำรองจ่าย (Cashless)

วิธีนี้ผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้า โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. แสดงบัตรประกันและบัตรประชาชนที่โรงพยาบาลคู่สัญญา
  2. โรงพยาบาลจะตรวจสอบสิทธิ์กับบริษัทประกัน
  3. ผู้เอาประกันรับการรักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน (ยกเว้นส่วนเกินสิทธิ์)
  4. โรงพยาบาลส่งเอกสารเรียกเก็บเงินไปยังบริษัทประกันโดยตรง

ข้อดีของวิธีนี้คือ สะดวก ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของโรงพยาบาลที่สามารถใช้บริการได้

2. การเคลมแบบสำรองจ่าย (Reimbursement)

วิธีนี้ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน แล้วนำเอกสารมาเบิกกับบริษัทประกันภายหลัง มีขั้นตอนดังนี้:

  1. ผู้เอาประกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง
  2. รวบรวมเอกสารที่จำเป็น เช่น ใบเสร็จ ใบรับรองแพทย์
  3. กรอกแบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหม
  4. ส่งเอกสารทั้งหมดให้บริษัทประกัน
  5. รอการพิจารณาและรับเงินคืน

ข้อดีของวิธีนี้คือ มีความยืดหยุ่นในการเลือกสถานพยาบาล แต่อาจไม่สะดวกเนื่องจากต้องสำรองจ่ายก่อน

ระยะเวลารอคอยในประกันสุขภาพ

นอกจากระยะเวลาในการเคลม ผู้เอาประกันควรทราบเกี่ยวกับ “ระยะเวลารอคอย” (Waiting Period) ในประกันสุขภาพด้วย ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาหลังจากทำประกันที่ผู้เอาประกันยังไม่สามารถเคลมได้ โดยทั่วไปแล้วมีดังนี้:

  1. โรคทั่วไป: 30 วันหลังทำประกัน
  2. โรคร้ายแรงหรือโรคที่มีระยะก่อโรคนาน: 120 วันหลังทำประกัน
  3. การคลอดบุตร: 280 วันหลังทำประกัน
ประกันสุขภาพ ระยะเวลารอคอย
ประกันสุขภาพ ระยะเวลารอคอย

ระยะเวลารอคอยนี้มีไว้เพื่อป้องกันการทำประกันโดยรู้ตัวว่าป่วยอยู่แล้ว ซึ่งขัดกับหลักการของการประกันภัย

ข้อควรระวังในการเคลมประกันสุขภาพ

เพื่อให้การเคลมประกันสุขภาพเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้เอาประกันควรระวังประเด็นต่อไปนี้:

  1. อ่านเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้ละเอียด: เพื่อทราบขอบเขตความคุ้มครอง ข้อยกเว้น และเงื่อนไขการเคลม
  2. เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: โดยเฉพาะใบเสร็จและใบรับรองแพทย์ ควรเก็บฉบับจริงไว้เสมอ
  3. แจ้งเคลมภายในระยะเวลาที่กำหนด: หากเกินกำหนด อาจทำให้เสียสิทธิ์ในการเคลมได้
  4. ให้ข้อมูลที่เป็นความจริง: การให้ข้อมูลเท็จอาจทำให้การเคลมเป็นโมฆะ และอาจถูกยกเลิกกรมธรรม์ได้
  5. ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร: ก่อนส่งให้บริษัทประกัน ควรตรวจสอบว่าข้อมูลทั้งหมดถูกต้องและครบถ้วน
  6. เก็บสำเนาเอกสารไว้: ควรเก็บสำเนาเอกสารทุกอย่างที่ส่งให้บริษัทประกันไว้เป็นหลักฐาน
  7. ติดตามผลการเคลม: หากไม่ได้รับการติดต่อกลับภายในระยะเวลาที่กำหนด ควรสอบถามกับบริษัทประกัน

กรณีที่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายสินไหม

ในบางกรณี บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายสินไหม ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น:

  1. การรักษาไม่อยู่ในขอบเขตความคุ้มครอง
  2. เป็นโรคที่มีอยู่ก่อนการทำประกัน (Pre-existing condition)
  3. อยู่ในช่วงระยะเวลารอคอย
  4. เอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง
  5. เคลมเกินระยะเวลาที่กำหนด
  6. การรักษาไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าจำเป็น

ในกรณีที่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายสินไหม ผู้เอาประกันมีสิทธิ์ดำเนินการดังนี้:

  1. ขอคำอธิบาย: สอบถามเหตุผลในการปฏิเสธการจ่ายสินไหมอย่างละเอียด
  2. ยื่นอุทธรณ์: หากเชื่อว่าการปฏิเสธไม่เป็นธรรม สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อบริษัทประกันได้
  3. ขอความช่วยเหลือ: ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อขอคำแนะนำหรือร้องเรียน
  4. ปรึกษาทนาย: ในกรณีที่เชื่อว่าถูกปฏิเสธอย่างไม่เป็นธรรมและต้องการดำเนินการทางกฎหมาย

การเคลมประกันสุขภาพออนไลน์

ในยุคดิจิทัล หลายบริษัทประกันได้พัฒนาระบบการเคลมประกันสุขภาพออนไลน์ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้เอาประกันมากขึ้น โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้:

เคลมประกันสุขภาพออนไลน์
เคลมประกันสุขภาพออนไลน์
  1. ลงทะเบียน: สมัครใช้งานแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของบริษัทประกัน
  2. เลือกประเภทการเคลม: เลือกว่าเป็นการเคลมประเภทใด เช่น ผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน
  3. กรอกข้อมูล: ใส่รายละเอียดการรักษาและค่าใช้จ่าย
  4. อัพโหลดเอกสาร: ถ่ายภาพหรือสแกนเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้วอัพโหลด
  5. ยืนยันการเคลม: ตรวจสอบข้อมูลและยืนยันการส่งเคลม
  6. ติดตามสถานะ: สามารถติดตามสถานะการเคลมผ่านระบบออนไลน์ได้

ข้อดีของการเคลมออนไลน์คือ สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของวงเงินที่สามารถเคลมได้ผ่านช่องทางนี้

เทคนิคการเคลมประกันสุขภาพให้ราบรื่น

เพื่อให้การเคลมประกันสุขภาพเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ผู้เอาประกันควรปฏิบัติดังนี้:

  1. ทำความเข้าใจกรมธรรม์: ศึกษาเงื่อนไข ข้อยกเว้น และสิทธิประโยชน์ในกรมธรรม์ให้ชัดเจน
  2. เก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ: จัดเก็บใบเสร็จ ใบรับรองแพทย์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระเบียบ
  3. แจ้งเคลมทันที: ดำเนินการเคลมโดยเร็วที่สุดหลังจากได้รับการรักษา
  4. ตรวจสอบความถูกต้อง: ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารทุกฉบับให้ถูกต้องก่อนส่ง
  5. ติดต่อตัวแทนหรือบริษัทประกัน: หากมีข้อสงสัย ควรสอบถามตัวแทนหรือบริษัทประกันโดยตรง
  6. ใช้บริการออนไลน์: หากมีบริการเคลมออนไลน์ ควรใช้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว
  7. เตรียมข้อมูลสุขภาพ: เก็บประวัติการรักษาและการตรวจสุขภาพไว้เป็นหลักฐาน

ข้อแตกต่างระหว่างการเคลมประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ

แม้ว่าประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างในด้านการเคลม ดังนี้:

ประกันสุขภาพ

  • ครอบคลุมการเจ็บป่วยทั่วไปและโรคต่างๆ
  • มักมีระยะเวลารอคอย
  • การเคลมอาจต้องผ่านการพิจารณาจากแพทย์ของบริษัทประกัน

ประกันอุบัติเหตุ

  • ครอบคลุมเฉพาะการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
  • ไม่มีระยะเวลารอคอย สามารถเคลมได้ทันทีหลังทำประกัน
  • การเคลมมักจะง่ายและรวดเร็วกว่า หากมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นอุบัติเหตุ

การเคลมประกันสุขภาพในกรณีพิเศษ

1. การเคลมกรณีโรคร้ายแรง

สำหรับกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง การเคลมอาจมีขั้นตอนพิเศษ ดังนี้:

  • ต้องมีการวินิจฉัยยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • อาจต้องส่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือผลการตรวจพิเศษเพิ่มเติม
  • บริษัทประกันอาจส่งแพทย์มาตรวจสอบอาการเพิ่มเติม

2. การเคลมกรณีการรักษาต่อเนื่อง

สำหรับโรคเรื้อรังหรือการรักษาต่อเนื่อง มีข้อควรรู้ดังนี้:

  • ต้องแจ้งบริษัทประกันว่าเป็นการรักษาต่อเนื่อง
  • อาจต้องส่งประวัติการรักษาย้อนหลัง
  • บางบริษัทอาจมีการกำหนดวงเงินสูงสุดสำหรับการรักษาต่อเนื่อง

3. การเคลมกรณีฉุกเฉิน

ในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุ:

  • ควรแจ้งบริษัทประกันทันทีที่ทำได้
  • หากต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ใช่คู่สัญญา อาจต้องสำรองจ่ายไปก่อน
  • เก็บเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรักษา รวมถึงรายงานของแพทย์ฉุกเฉิน

ผลกระทบของการเคลมต่อเบี้ยประกันในอนาคต

การเคลมประกันสุขภาพบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อเบี้ยประกันในปีถัดไป โดยทั่วไปแล้ว:

  1. การเคลมเล็กน้อย: มักไม่ส่งผลกระทบมากนัก
  2. การเคลมจำนวนมากหรือบ่อยครั้ง: อาจทำให้เบี้ยประกันในปีถัดไปสูงขึ้น
  3. การเคลมโรคร้ายแรง: อาจส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือในบางกรณีบริษัทประกันอาจปฏิเสธการต่ออายุกรมธรรม์

ดังนั้น ผู้เอาประกันควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการเคลม โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการรักษาเล็กน้อยที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก

การเตรียมตัวก่อนทำประกันสุขภาพ

เพื่อให้การเคลมในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่น ควรเตรียมตัวก่อนทำประกันสุขภาพดังนี้:

  1. ตรวจสุขภาพ: ทำการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนทำประกัน เพื่อทราบสภาวะสุขภาพของตนเอง
  2. เปิดเผยข้อมูลสุขภาพ: ให้ข้อมูลสุขภาพที่เป็นจริงและครบถ้วนแก่บริษัทประกัน
  3. ศึกษาเงื่อนไขกรมธรรม์: อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ในกรมธรรม์อย่างละเอียด
  4. เปรียบเทียบแผนประกัน: เปรียบเทียบแผนประกันจากหลายบริษัทเพื่อเลือกแผนที่เหมาะสมที่สุด
  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาตัวแทนประกันหรือที่ปรึกษาทางการเงิน

ข้อควรพิจารณาในการเลือกประกันสุขภาพเพื่อการเคลมที่สะดวก

เมื่อเลือกทำประกันสุขภาพ นอกจากพิจารณาความคุ้มครองและเบี้ยประกันแล้ว ควรคำนึงถึงความสะดวกในการเคลมด้วย โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้:

ข้อควรพิจารณาในการเลือกประกันสุขภาพ
ข้อควรพิจารณาในการเลือกประกันสุขภาพ
  1. เครือข่ายโรงพยาบาล: เลือกบริษัทที่มีเครือข่ายโรงพยาบาลคู่สัญญาที่กว้างขวาง และมีโรงพยาบาลใกล้ที่พักอาศัยหรือที่ทำงาน
  2. ระบบเคลมออนไลน์: ตรวจสอบว่าบริษัทมีระบบเคลมออนไลน์ที่ใช้งานง่ายหรือไม่
  3. บริการลูกค้า 24 ชั่วโมง: ควรเลือกบริษัทที่มีบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน
  4. ความรวดเร็วในการอนุมัติ: สอบถามระยะเวลาเฉลี่ยในการอนุมัติการเคลมของแต่ละบริษัท
  5. ความยืดหยุ่นในการเคลม: บางบริษัทอาจมีความยืดหยุ่นมากกว่าในกรณีที่เกิดปัญหาหรือความล่าช้าในการเคลม
  6. ความโปร่งใสของเงื่อนไข: เลือกบริษัทที่มีการอธิบายเงื่อนไขการเคลมอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

การเคลมประกันสุขภาพเป็นสิทธิประโยชน์สำคัญที่ผู้เอาประกันควรใช้อย่างเต็มที่เมื่อจำเป็น การเข้าใจกระบวนการ เงื่อนไข และข้อควรระวังต่างๆ จะช่วยให้การเคลมเป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยแล้ว ยังช่วยลดความถี่ในการเคลมประกัน ซึ่งอาจส่งผลดีต่อเบี้ยประกันในระยะยาวอีกด้วย

ท้ายที่สุด การมีประกันสุขภาพที่เหมาะสมและเข้าใจวิธีการเคลมอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและความอุ่นใจมากขึ้นในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

สรุป

การเคลมประกันสุขภาพเป็นกระบวนการสำคัญที่ผู้เอาประกันควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:

  1. ควรแจ้งเคลมโดยเร็วที่สุด โดยทั่วไปภายใน 30-180 วันหลังการรักษา
  2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น ใบเสร็จ ใบรับรองแพทย์ และแบบฟอร์มเคลม
  3. ทำความเข้าใจเงื่อนไขในกรมธรรม์ รวมถึงระยะเวลารอคอยและข้อยกเว้นต่างๆ
  4. ใช้บริการเคลมออนไลน์หากมี เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว
  5. หากมีข้อสงสัยหรือปัญหาในการเคลม ควรติดต่อบริษัทประกันหรือตัวแทนโดยตรง
  6. เก็บสำเนาเอกสารทุกอย่างที่ส่งให้บริษัทประกันไว้เป็นหลักฐาน
  7. ติดตามผลการเคลมอย่างสม่ำเสมอ

การเข้าใจกระบวนการเคลมประกันสุขภาพอย่างถ่องแท้จะช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ได้อย่างเต็มที่ ลดความเครียดและความกังวลในยามเจ็บป่วย และได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาลอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเคลมประกันสุขภาพ

1. หากลืมเคลมภายในระยะเวลาที่กำหนด จะทำอย่างไร?

ควรติดต่อบริษัทประกันโดยเร็วที่สุด อธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถเคลมได้ทันเวลา บางบริษัทอาจพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้รับการยกเว้นเสมอไป

2. สามารถเคลมประกันสุขภาพย้อนหลังได้หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่สามารถเคลมย้อนหลังได้ เว้นแต่จะมีเหตุผลจำเป็นและได้รับการอนุมัติเป็นกรณีพิเศษจากบริษัทประกัน

3. หากมีประกันสุขภาพหลายกรมธรรม์ สามารถเคลมได้ทุกกรมธรรม์หรือไม่?

สามารถเคลมได้ทุกกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครอง แต่ต้องแจ้งบริษัทประกันทุกแห่งว่ามีการเคลมกับบริษัทอื่นด้วย เพื่อป้องกันการเคลมซ้ำซ้อน

4. การรักษาแบบแพทย์ทางเลือกสามารถเคลมได้หรือไม่?

ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ บางกรมธรรม์อาจครอบคลุมการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกบางประเภท เช่น การฝังเข็ม แต่ต้องได้รับการวินิจฉัยและสั่งการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน

5. หากเกิดอุบัติเหตุในต่างประเทศ สามารถเคลมประกันสุขภาพได้หรือไม่?

หากกรมธรรม์ระบุความคุ้มครองในต่างประเทศ สามารถเคลมได้ แต่อาจต้องสำรองจ่ายไปก่อนและนำหลักฐานมาเคลมภายหลัง ควรติดต่อบริษัทประกันทันทีเมื่อเกิดเหตุ